วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

การปลูกเงาะ

การปลูกเงาะ

สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสมในการปลูกเงาะ
     เงาะเป็นไม้ผลที่ขึ้นได้ ในดินเกือบทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูงมีความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินอยู่ระหว่าง ๕.๕ - ๗ ความลึกของหน้าดินไม่ควรน้อยกว่า ๑ เมตร เงาะจะ ให้ผลผลิตคุณภาพดีได้ในสภาพที่มีความชื้นในอากาศสูง มีผนตกกระจายเกือบตลอดปี ปริมาณน้ำฝนในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า ๑,๕๐๐ มิลลิเมตร ดังนั้น แหล่งที่เหมาะสมต่อการปลูกเงาะจึงเป็นจังหวัดใน ภาคตะวันออกและภาคใต้

พันธุ์
     พันธุ์เงาะที่ปลูกในประเทศมีหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้าในปัจจุบันได้แก่ พันธุ์โรงเรียน และพันธุ์สีชมพู ซึ่งเงาะทั้งสองพันธุ์นี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สรุปได้ดังนี้

พันธุ์โรงเรียน     เป็นเงาะที่มีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด ราคาสูงกว่าเงาะพันธุ์สีชมพู มีผิวสีแดงเข้ม โคนขนมีสีแดง ปลายขนสีเขียว เนื้อหนาแห้ง และล่อนออกจากเมล็ดได้ง่าย เป็นพันธุ์ที่ตอบสนองต่อปุ๋ยได้ดีแต่มีข้อเสียคือ อ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ในกรณีที่ขาด น้ำในช่วงของผลอ่อน ผลจะแตกหรือร่วงหลนเสียหายได้ มากกว่าเงาะพันธุ์สีชมพู

พันธุ์สีชมพู
    เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย มีการเจริญเติบโตดี ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพฟ้า อากาศ ให้ผลดก มีผิวและขนเป็นสีชมพูสด เนื้อหนา ฉ่ำน้ำ ให้ผลดก แต่มีข้อเสียคือ บอบช้ำง่าย ไม่ทนทานต่อการขนส่งรวมทั้งไม่เป็นต้องการของตลาดบาง แห่งจึงทำให้เงาะพันธุ์สีชมพูมีราคาค่อนข้างต่ำการตัดสินใจ เลือกปลูกเงาะพันธุ์ใดนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมของเกษตกร และสภาพพื้นที่โดยเฉพาะในปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำ และตลาดเป็นสำคัญ

การขยายพันธุ์

     การขยายพันธุ์เงาะทำได้หลายวิธี การเพาะเมล็ด การตอนการทราบกิ่ง และการติดตา แต่ปัจจุบันนิยมขยายพันธุ์โดยการติดตา ซึ่งถ้ามีการปฏิบัติดูแลรักาาหลังจากปลูกเป็นอย่างดี เงาะจะเริ่มให้ผลเมื่อมีอายุประมาณ ๓-๔ ปี

การปลูก
     การเตรียมพื้นที่ปลูก
     ควรเตรียมพื้นที่ปลูกในฤดูแล้งเพราะสามารถทำงานได้สะดวก และสามารถปลูกได้ทันทีตั้งแต่ต้นฤดูฝน ไถกำจัดวัชพืช ตลอดจนตอไม้และไม้ยืนต้นอื่น ๆ ออกให้หมดไถพรวน ปรับสภาพพื้นที่ให้เรียบ

    ระยะปลูก
     เนื่องจากเงาะเป็นไม้ผลที่มีทรงพุ่มกว้างและออกดอกที่ปลายทรงพุ่ม จึงจำเป็นต้องปลูกเงาะเจริญเติบโตแบะให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่ และเพื่อความสะดวกในการปฎิบัติฝานในสวน ระยะปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วง ๘-๑๐ x ๘-๑๐ เมตร ในพื้นที่ ๑ ไร่ จะปลูกเงาะได้ประมาณ ๑๖-๒๐ ต้น และเพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดรายได้ในช่วงเงาะยังไม่ให้ผลผลิตก็ควรจะปลูกพืช แซมประเภทพืชผักหรือไม้ผลประเภทกล้วย มะละกอ แซมในระหว่างแถวเงาะ

     การเตรียมหลุมปลูก
     หลุมที่ปลูกเงาะควรมีขนาดใหญ่น้อยกว่า ๕๐x๕๐x๕๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ หลุมปลูกควรมีขนาดประมาณ ๑x๑x๑ เมตร ดินที่ขุดขึ้นมาให้ใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต ประมาณ ๒ กระป๋องนมและปุ๋ยคอกแห้งประมาณ ๑ บุ้งกี๋ คลุกเคล้ากับดินปลูกให้ทั่วแล้วกลบลงไปในหลุม ให้ระดับสูงกกว่าเดิมประมาณ ๒๐ - ๒๕ เซนติเมตร

     วิธีปลูก
     คุ้ยดินที่เตรียมไว้ให้เป็นหลุมเล็ก ๆ วางกิ่งพันธุ์ที่นำออกมาจากภาชนะลงตรงกลางหลุม แล้วกลบดิน ให้สูงกว่าระดับดินเดิมไม่เกิน ๑ นิ้ว ระวังอย่าให้สูงถึงรอยแผลที่ติดตา จากนั้นใช้ไม้เป็นหลักผูกยึด กิ่งพันธุ์ดีไว้กับหลักเพื่อป้องกันต้นล้ม และจะต้องรดน้ำตามทันทีเพื่อช่วยให้เม็ดดินกระชับรากและใช้ทาง มะพร้าวช่วยพรางแสงแดดให้กับต้นเงาะทางทิศตะวันออก/ตะวันตก จนกว่าเงาะจะตั้งตัวได้

การปฏิบัติดูแลรักษา
    การให้น้ำ     เงาะที่เริ่มปลูกจะต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าเงาะจะตั้งตัวได้ปริมาณ และความถี่ของการให้น้ำขึ้นกับชนิดของดิน และปริมาณน้ำฝนเป็นหลัก ปกติแล้วควรให้ ๗-๑๐ วัน / ครั้ง เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งควรหาหญ้าแห้งหรือฟางแห้งคลุมบริเวณโคนต้นเพื่อ รักษาความชื้นในดิน

     ส่วนเงาะที่ให้ผลแล้วนั้น ในระยะใกล้จะออกดอกจะมีการบังคับน้ำโดยให้น้ำปริมาณที่น้อยมาก เพื่อป้องกันการแตกใบอ่อนและเมื่อเงาะแทงช่อดอกออกมาให้สังเกตว่า มีใบอ่อนแซมซ่อมดอกออกามากหรือน้อย ถ้ามีใบอ่อนแซมซ่อมดอกมากก็งดการให้น้ำสักระยะจนใบอ่อนที่แซม มานั้นร่วงจนหมดจึงค่อยเริ่มให้น้ำ เพื่อให้ตาดอกเจริญต่อไป โดยจะให้ประมาณ ๑ ใน ๓ ของการ ให้น้ำตามปกติ และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดอกเริ่มปานและติดผล ในช่วงการเจริญเติบโตของผลจะ ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าเงาะได้รับน้ำน้อยเกินไป ผลจะเล็กผลลีบและมีเปลือกหนา และในช่วงที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวถ้าฝนทิ้งช่วงต้องมีการดูลให้ต้น เงาะได้น้ำอย่างสม่เสมอ เพราะถ้าเงาะขนาดน้ำแล้วเกิดมีฝนตกลงมา ผลเงาะจะได้รับ น้ำอย่างกระทันหัน จะทำให้ผลแตกเสียหายได้

     การใส่ปุ๋ย     การใส่ปุ๋ยเงาะที่ยังไม่ให้ผล ให้ใส่ปุ๋ยอัตรา ๑:๑:๑ เช่น ปุ๋ยสูตร ๑๕-๑๕-๑๕ ต้นเงาะอายุ ๑-๒ ปี ใส่ปุ๋ยประมาณ ๑/๒ - ๑ กิโลกรัม / ต้น และเพิ่มขึ้นประมาณ ๑/๒ กิโลกรัม/ต้น/ปี โดยแบ่งใส่ ๒ ครั้ง ในตอนต้นและปลายฤดูฝน ให้ใส่ปุ๋ยหลังจากตัดแก่งกิ่งและ กำจัดวัชพืชแล้วโดยใส่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์

     การใส่ปุ๋ยเงาะที่ให้ผลแล้ว ปริมาณการใส่ปุ๋ยให้พิจารณาจากอายุต้น ความอุดมสมบูรณ์ของต้น ชนิดของดิน และปริมาณผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูที่ผ่านมา การใส่ปุ๋ยเงาะที่ให้ผลแล้ว จะให้ใน ๓ ช่วง ดังนี้


     -การใส่ปุ๋ยเมื่อเก็ยเกี่ยวผลเงาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะต้องรีบตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืชโดยเร็ว ให้ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา ๑:๑:๑ เช่น ปุ๋ยสูตร ๑๕-๑๕-๑๕ ต้นละ ๒-๓ กิโลกรัม และปุ๋ยอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์เก่าต้นละ ๒-๓ ปิ๊บ การใส่ปุ๋ยครั้งนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันน้ำฝนชะพาให้ปุ๋ยสูญเสีย ควรใส่ปุ๋ยเป็นหลุม ๆ รอบทรงพุ่ม โดยใช้ปลายแหลมแทงดินเป้นรู ๆ หรือใช้จอบขุดดินเป็นหลุม หยอดปุ๋ยแล้วกลบปิดปากหลุมทำเป็นระยะ ๆ รอบทรงพุ่ม การใส่ปุ๋ยใน ครั้งนี้เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ของต้นให้พร้อมที่จะออกผลในฤดูกาลถัดไป

     -การใส่ปุ๋ยก่อนการออกดอก พอปลาย ๆ ฝน เมื่อฝนเบาบางลงหรือฝนเริ่มทิ้งช่วงให้ใส่ปุ๋ยเพื่อช่วยและตัวหลังสูง เช่น ปุ๋ยสูตร ๘-๒๔-๒๔ หรือ ๙*๒๔-๒๔ ประมาณ ๒-๓ กิโลกรัม /ต้น

     -การใส่ปุ๋ยเมื่อติดผลแล้ว หลังจากดอกบานและติดตามเล็ก ๆ นอกจากจะต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอแล้ว จะต้องให้ปุ๋ยสูตร ๑๕-๑๕-๑๕ หรือ ๑๖-๑๖-๑๖ ปริมาณ ๑-๒ กิโลกรัม / ต้น และในระยะก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ ๑ เดือน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร ๑๒-๑๒-๑๗-๒ หรือ๑๓-๑๓-๒๑ หรือ ๑๔-๑๔-๒๕ อัตรา ๑-๒ กิโลกรัม/ต้น เพื่อเป็นการบำรุงผลให้มีขนาดและคุณภาพดีขึ้น การใส่ปุ๋ยในครั้งนี้จะใส่ในช่วงฤดูแล้ง ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำฝนชะพาปุ๋ยสูญเสีย จึงใส่ปุ๋ยได้โดยการหว่านลงทั่วบริเวณทรงพุ่ม แล้วใช้คราดกลบบาง ๆ และรดน้ำเพื่อช่วยให้ปุ๋ยละลายซึมลงดิน

    การใส่ปุ๋ยทุกครั้งจะต้องกระทำหลังจากการกำจัดวัชพืชแล้ว
การตัดแต่งกิ่ง     ให้ตัดแต่งกิ่งก่อนการใส่ปุ๋ย โดยตัดกิ่งต่ำที่ระดิน กิ่งที่เป็นโรคกิ่งแห้งตายออกให้หมด รวมทั้งกิ่งที่อยู่ในทรงพุ่มที่ไม่สามารถยื่นปลายยอดดอกไปรับแสงแดดได้ เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง ในเงาะที่ให้ผลแล้วหลังจากการเก็บเกี่ยว ผลผลิตแล้วให้รีบตัดแต่งกิ่งโดยเร็วจะต้องตัดก้านผลที่ยังเหลือค้างอยู่ออกให้หมด และต้องตัดลึกเข้าไปอีกประมาณ ๑ คืบเพื่อให้มีการแตกยอดใหม่ที่ดี

    การป้องกันกำจัดวัชพืช     การกำจัดวัชพืชนอกจากจะต้องกระทำครั้งก่อนการใส่ปุ๋ยแล้วยังจำเป็น ต้องคอยดูแลอยุ่ตลอดเวลาป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้นในสวนอย่างหนาแน่น เพราะนอกจากจะไปแย่งอาหารจากเงาะแล้วยังเป็นแหล่งสะสมของ โรคและแมลงอีกด้วย ซึ่งอาจจะใช้รถตัดหญ้าหรือใช้สารเคมีควบคุม

    -เงาะขี้ครอก
     อาการที่เกิดขึ้น คือผลเงาะไม่เจริญเติบโต มีขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย หรือเจริญเติบโตได้แต่ลีบแบนไม่สมบูรณ์ โดยจะเป็นทั้งช่อหรือบางส่วนของช่อ เมื่อถึงกำหนดมาจากดอกเงาะไม่ได้รับการผสมเกสรซึ่งตามธรรมชาติ ต้นเงาะมี ๒ ประเภท คือ เงาะตัวผู้จะให้แต่ดอกตัวผู้ล้วน ๆ ซึ่งจะมีเกสรตัวผู้ที่แข็งแรงมาก ไม่มีเกสรตัวเมีย จึงมีแต่ดอกไม่ให้ผล ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เงาะกระเทย มัทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียซึ่งเป็นต้นเงาะที่ปลูกทั่วไปในปัจจุบัน เงาะกระเทยมีเกสรตัวเมียประกอบด้วยรังไข่ ๒ อัน เมื่อได้รับการผสมเกสรแล้ว ปกติรังไข่จะเจริญเพียงอันเดียว ส่วนเกสรตัวผู้ไม่แข็งแรง ดังนั้นการเลือกปลูกแต่ต้นกระเทยเพียงอย่างเดียวแล้วปล่อยให้มีการ ผสมเกสรกันเองตามธรรมชาติ การผสมเกสรจะเกิดไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดอาการเงาะขี้ครอกได้

    การแก้ไขโดยการช่วยผสมเกสรทำได้หลายวิธีเช่น

     -ใช่ช่อดอกตัวผู้ต้นตัวผู้ที่กำลังบานเต็มที่มาแขวนไว้ที่ต้นเงาะที่ต้องการผสมเกสร และมีดอกบานเต็มที่แล้ว แขวนเป็นจุด ๆ ต้นละ ๓-๔ จุด เกสรตัวผู้จะปลิวไปตามลม และจะมีแมลงเช่นผึ้งช่วยผสมเกสร

     -ปลูกต้นตัวผู้แซมในสวนเงาะเป็นจุด ๆ

     -น้ำตาลจากต้นตัวผู้มาติดตาไว้บนต้นกระเทยบางกิ่ง

     -ใช้สารควบคุมการเจริฐเติบโตหรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่าฮอร์โมพืช เป็นวิธีที่ที่นิยมกันในปัจจุบัน ให้ใช้ฮอร์โมนเอ็น เอ เอ ๑-๑.๕ ซีซี ต่อน้ำ ๑ ลิตร ฮีดพ่นเมื่อดอกบานภายในช่อประมาณ ๒๕-๓๐%ให้ฉีดพ่นช่อดอกเป็นจุด ๆ ประมาณ ๔-๕ จุด กระจายทั่วต้น หรือจะพ่นเป็นทางยาวพาดผ่านต้น ซึ่งฮอร์โมนเอ็น เอ เอ จะช่วยให้ดอกกระเทยมีเกสรตัวผู้ที่แข็งแรง แต่รังไข่จะไม่ทำงาน ฉะนั้นเมื่อดอกบานแล้วก็จะร่วงหล่นไปไม่ติดผล

     แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกวิธีนั้นถ้าจะให้ผลดีมากยิ่งขึ้นการเลี้ยงผึ้งหรือปล่อยผึ้งให้ช่วยผสมเกสร ในช่วงดอบานจะทำให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างสมบูรณ์มากขึ้น แต่ข้อควรระวังคือ ต้องงดการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลงในช่วงการ ปล่อยให้ผึ้งช่วยผสมเกสร

     -ขอบใบแห้งหรือปลายใบแห้ง
     จะพบอาหารที่ปลายใบหรือขอบใบของเงาะแห้ง มีสีน้ำตาลถ้าเป็นมาก ๆ ใบจะแห้งและม้วนงอ เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น

     -ในช่วงแล้ง ความชื้นในอากาศมีน้อย เงาะได้รับน้ำไม่เพียงพอป้องกัน และแก้ไขได้โดยการรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ

     -ระบบรากถูกทำลายหรือถูกรบกวนโดยแมลงบาปงระเภท แก้ไขได้โดยการใช้สารเคมีพวกไดเมทโธเอท หรือคลอร์ไพริฟอส ฉีดพ่น

     -การถูกทำลายด้วยสารเคมี เช่น ใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินไป ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชไม่ถูกวิธี เช่น ใช้ความเข้มข้นสูงเกินไป ฉีดพ่นในเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือใบอาจ จะถูกยากำจัดวัชพืชทำให้ปลายใบหรือขอบใบไหม้

     -ช่อดอกแห้ง

     เกิดจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ซึ่งดอกเงาะในรุ่นแรกจะแห้ง การติดผลน้อยมาก แต่ถ้าหากช่อดอกยัง มีความแข็งแรงและได้รับความชุ่มชื้นเพียงพอก็สามารถแทงช่อดอก ต่อจากเดิมได้อีก ซึ่งเรียกว่า ช่อดอกหางแลนหรือหางแย้ และสาเหตุที่ทำให้ดอกร่วง ช่อดอกแห้งคือเพลี้ยไฟ

การเก็บเกี่ยว
     เงาะจะเริ่มออกดอกเมื่อปลูกได้ประมาณ ๓-๔ ปี ผลผลิตของเงาะจะมากน้อยแตกต่างกันไปขึ้นกับพันธุ์ อายุ การปฏิบัติดูแลรักษาของชาวสวน ได้มีการเก็บตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการจังหวัดจันทบุรีพบว่าเงาะ พันธุ์สีชมพูมีอายุประมาณ ๑๐ ปี ให้ผลผลิตประมาณ ๓,๕๐๐ กก./ไร่ เงาะพันธุ์โรงเรียน อายุประมาณ ๑๐ ปี เช่นกันให้ผลผลิตประมาณ ๒,๐๐๐ กก./ไร่

     โดยทั่วไปในภาคตะวันออกเงาะจะออกดอกประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาดปลายเดือนเฒาษยน-กรกฎาคม ผลผลิตออกมากที่สุดประมาณเดือนมิถุนายน ส่วนเงาะจากภาคใต้จะออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน เก็บผลเดือนกรกฎาคม-กันยายน ผลผลิตออกมากที่สุดในเดือนสิงหาคม

    ดัชนีการเก็บเกี่ยว
     เงาะเริ่มผลิตตาดอกจนถึงผลแก่เก็บเกี่ยวได้ใช้เวลาประมาณ ๑๓๐-๑๖๐ วัน ตั้งแต่ดอกเริ่มบานจนบานหมดช่อและ ผสมเกสรเสร็จใช้เวลาประมาณ ๒๕-๓๐ วันและตั้งแต่ผสมติดจนถึงผลแก่เก็บเกี่ยวได้ใช้เวลา ๑๐๐-๑๒๐ วัน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับ สภาพธรรมชาติและพันธุ์เงาะ

     อายุของเงาะที่เก็บเกี่ยวมีความสำคัญมากต่อสุขภาพ ต่ออายุการเก็บรักาษ และการวางจำหน่าย ผลเงาะที่อ่อนหรือแก่เกินไป สีผลไม่สวย คุณภาพและรสชาติด้อย สุรพงษ์ โกสิยะจินดา ได้แนะนำวัยของเงาะ ที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวไว้ดังนี้

     ผลที่ ๑ และ ๒     หลังจากเริ่มเปลี่ยนสีได้ ๑๐ วัน และ ๑๓ วันผลอ่อนเกินไป

     ผลที่ ๓                หลังจากเริ่มเปลี่ยนสีได้ ๑๖ วัน มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

     ผลที่ ๔ และ ๕     หลังจากเริ่มเปลี่ยนสีได้ ๑๙ วัน และ ๒๒ วัน มีคุณภาพดีมากทั้งสีและรสชาติ

     ผลที่ ๖ และ ๗      หลังจากเริ่มเปลี่ยนสีได้ ๒๕ วัน และ ๒๘ วัน มีคุณภาพดีเช่นกันแต่เหมาะสำหรับตลาดในประเทศ

     ผลที่ ๘                 แก่เกินไป

     ผลที่ ๑ และ ๒       มีคุณภาพด้ยผลอ่อนเกินไป

     ผลที่ ๓-๗             มีคุณภาพดีทั้งสีและรสชาติ

     ผลที่ ๘                 มีรสหวานมาก แก่จัดเกินไป
วิธีการเก็บเกี่ยว     ไม่ควรเก็บเกี่ยวในช่วงที่มีแดดจัดเพราะจะทำให้เงาะสูญเสียน้ำ และเหี่ยวอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วจะเก็บเกี่ยวเงาะในช่วงเช้า โดยใช้กรรไกรตัดในระยะที่มือเอื้อมถึง หรือจะใช้บันไดอลูมิเนียม หรือม้านั่งสูงปีนขึ้นไปตัด หรือใช้บันไดอลูมิเนียม หรือม้านั่งสูงปีนขึ้นไปตัด หรือใช้บันไดไม้ไผ่พาดกิ่งนอกทรงพุ่ม แล้วปีนขึ้นไป ตัดผลเงาะทั้งช่อใส่เข่งหรือตะกร้าจนเต็มแล้วใช้เชือกโรยลงมาให้คนที่อยู่ข้าง ล่าวถ่ายใส่ภาชนะอื่นเพื่อลำเลียงไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

     ควรหลีกเลี่ยงการตัดช่อเงาะให้หลุดจากต้นลงมากระทบพื้นดินโดยตรง เพราะจะทำให้ผลเงาะซ้ำ ผลแตก จนหัก มีตำหนิและเกิดการเน่า เสียหลังจากการเก็บเกี่ยวอย่างรวดเร็ว ถ้าจะใช้มีดหรือกรรไกรต่อด้ามยาวตัดลงก็ควรมีตาข่ายขึงรอง รับเพื่อลดแรงกระแทก ก็จะลดความเสียหายได้บ้าง

     ปฏิบัติการหลังการเก็บเกี่ยว
     หลังจากเก็บเกี่ยวผลเงาะลงมาแล้วให้รีบลำเลียงไปไว้ในที่ร่มโดยเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นใต้ต้นเงาะในสวน หรือโรงเรือน โดยมีการปฎิบัติดังนี้


     ๑.ตัดแต่งช่อเงาะให้เป็นผบเดี่ยว ๆ โดยตัดก้านให้ชิดผล คัดผลที่มีลักษณะไม่ดี เช่น เจริญเติบโตไม่เต็มที่ มีรอยช้ำ รอยแตก หรือรอยแผลจากการเก็บเกี่ยว และผลที่มีรอย ตำหนิจากการทำลายของโรคและแมลงออกให้หมด

     ๒.สำหรับตลาดในประเทศ ชาวสวนจะบรรจุเงาะลงในเข่งและรดน้ำเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับ ผลเงาะและรอพ่อค้าคนกลางมารับซื้อต่อไป

     ๓.ถ้าเป็นการส่งออกไปต่างประเทศ ชาวสวนจะต้องงดรดน้ำเงาะก่อนการเก็บเกี่ยว ประมาณ ๒-๓ วัน และนอกจากเก็บเกี่ยวและคัดผลเสียออกด้วยความพิถีพิถันแล้ว จะต้องทำการตัดขนาดและใช้แปรงขนอ่อนปัดแมลงรวมทั้งเศษฝุ่น ผงที่ติดมากับผลออกให้หมดแล้วจุ่มผลเงาะในสารละลายบีโนมิล ความเข้มข้น ๕๐๐ ส่วนในล้านส่วน (บีโนมิล ๑๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร) เสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง แล้วจึงบรรจุหีบห่อ การบรรจุหีบห่อเงาะเพื่อการส่งออกควรใช้กล่อง กระดาษลูกฟูกขนาด ๔๐๐x๓๐๐x๑๐๐ มิลลิเมตร น้ำหนักบรรจุต่อกล่องประมาณ ๔-๕ กิโลกรัม


แหล่งที่มา: http://www.pl-civil.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539327622&Ntype=1

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก